
614_hathaithip_08
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
โครงงาน ประวัติศาสตร์สากล (History Of The World)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล
ยุคหรือสมัยเป็นคำที่ใช้บอกช่วงเวลาของเหตุการณ์เพื่อกำหนดขอบเขตของเวลาที่มีความหมายและเป็นที่เข้าใจร่วมกันได้ง่ายขึ้นและสื่อสารกันได้อย่างถูกต้องตรงกันนักวิชาการทาง ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์นิยมกำหนดพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติออก เป็น 2 ยุคหรือสมัยด้วยกันคือสมัยก่อนประวัติศาสตร์กับสมัยประวัติศาสตร์โดยแต่ละสมัยยังมีการแบ่งออกเป็นสมัยย่อยอีก
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-historical Period)
คือช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรจดบันทึกเรื่องราวของสังคมนักโบราณคดีเป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ดึกดำบรรพ์หรือพิมพ์หินโบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สิ่งของเครื่องใช้ ภาพวาดตามผนังหรือบนสิ่งของต่างๆเป็นต้นโดยสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์มี การแบ่งเป็นยุคย่อย คือ ยุคหินกับยุคโลหะทั้งนี้ยุคหินยังมี การแบ่งออกเป็นยุคหินเก่ายุคหินกลางและยุคหินใหม่ส่วนยุคโลหะก็มีการแบ่งเป็นยุคสำริดกับยุคเหล็ก
1.ยุคหิน (Stone Age)
เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักนำหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธนักโบราณคดีกำหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปี มาแล้วแต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคหิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการ เทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้
1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age)
อยู่ระหว่าง 2,500,000-10,000 ปี มาแล้วมนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้ำหรือเพิงผายังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวรดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์หาปลาและเก็บหาผลไม้ในป่าเมื่ออาหารตามธรรมชาติ หมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไปมนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆเครื่องมือที่ใช้ทั่วไปคือเครื่องมือหินกะเทาะที่มีลักษณะหยาบใหญ่หนากะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้านไม่มี การฝนให้เรียบมนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนำหนังสัตว์มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มรู้จักใช้ไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้แสงสว่างให้ความปลอดภัยและหุงหาอาหารมีการฝังศพทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายและมี การนำเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆของผู้ตายฝังไว้ในหลุมด้วยนอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบภาพวาดตามผนังถ้ำที่ใช้สีฝุ่นสี ต่างๆได้แก่ สีดำ น้ำตาล ส้ม แดงอ่อนและเหลืองภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้ำลาสโกประเทศฝรั่งเศส

เครื่องมือที่พบในยุคหินเก่า
1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age)
อยู่ระหว่าง10,000-6,000ปี มาแล้วมนุษย์ยุคนี้รู้จักทำเครื่องมือหินที่มี ความประณีตมากขึ้นด้วยการกระเทาะผิวด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านออกให้เกิดความคมทำให้เครื่องมือหินในยุคนี้มี รูปทรงที่เหมาะแก่การใช้งานมากขึ้นกว่าเดิมเครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้งเครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบหลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบในทวีปยุโรปและทวีปเอเชียโดยพบครั้งแรกในเวียดนาม เรียกว่า วัฒนธรรมฮัวบิเนียนจัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินกลางของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทยด้วย
1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age)
อยู่ระหว่าง 6,000-4,000ปี มาแล้วมนุษย์ยุคนี้มี ความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลางรู้จักควบคุมธรรมชาติ มากขึ้นรู้จักพัฒนาการทำเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆเพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้นกว่าเครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะมีการต่อด้ามยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดินหรือต่อด้ามไม้สำหรับจับเป็นขวานหินสามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผาสามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทำเป็นแหหรืออวนจับปลาลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำแนกมนุษย์ยุคหินใหม่ออกจากมนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆเช่นถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลายชนิดมากขึ้น เช่น แพะ แกะ และวัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยู่ทั่วโลกแต่หลักฐานสำคัญที่มีลักษณะโดดเด่นคือการสร้างอนุสาวรีย์หิน (Megalithic) ที่มีชื่อเสียง คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศอังกฤษสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้คำนวณเวลาทางดาราศาสตร์เพื่อพิธีกรรมเพื่อบวงสรวงดวงอาทิตย์และเพื่อผลผลิตทางการเพาะปลูก
2.ยุคโลหะ (Metal Age)
เริ่มเมื่อประมาณ4,000 ปี มาแล้วมนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิดด้วยการมีความสามารถนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเองในระยะแรกของยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดี บุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิ ไม่สูงนักในการหลอมต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี ขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูงนักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยี และวัสดุที่นำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ดังนี้
2.1 ยุคสำริด (Bronze Age)
การเริ่มต้นของยุคสำริดในแต่ละภูมิ ภาคจะต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ4,000ปี มาแล้วในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนำทองแดงผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า สำริดมาใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มี คุณภาพดี กว่าที่ทำจากหินขัดมากการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่าชุมชนเมืองมี การจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตามความสัมพันธ์และความสามารถซึ่งพัฒนาการนี้ทำให้สังคมมี ความมั่นคงและมีการสั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมาแหล่งอารยธรรมสำคัญที่มีพัฒนาการจากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสำริดเช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชีย-ตะวันตกแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโหวในประเทศจีนเป็นต้น
2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age)
เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปี มาแล้วเป็นช่วงของการพัฒนาการทางเทคโนโลยี ที่ต่อเนื่องจากยุคสำริดหลังจากที่มนุษย์สามารถนำทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้วมนุษย์ก็ คิดค้นหาวิธี นำเหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มี ความแข็งและทนทานกว่าสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธด้วยการใช้อุณหภูมิ ในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสำริดแล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการเนื่องจากเหล็กใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้มี ความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความแข็งแรงมากกว่าสำริดและมีความทนทานกว่าด้วยจึงทำให้มนุษย์ยุคเหล็กสามารถทำการเกษตรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้เหล็กยังใช้ ทำอาวุธที่มี ความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสำริดจึงทำให้ สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่พัฒนาเข้าสู่ยุคเหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมี กองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่าสามารถปกป้องเขตแดนของตนเองได้ดีกว่าทำให้สังคมเมืองของตนมีความมั่นคงปลอดภัยและในที่สุดก็สามารถขยายอิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆได้ในเวลาต่อมา
คือ ช่วงเวลาที่มี หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวของสังคมนั้นๆอักษรนั้นอาจเป็นตัวอักษรของชนชาติ อื่นก็ได้แต่นำมาใช้บันทึกคำพูดเป็นเรื่องราวของสังคมตนโดยสมัยประวัติ ศาสตร์มี การแบ่งเป็นสมัยย่อย คือ สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน
ตามเหตุผลการจำแนกยุคสมัยดังนี้นักเรียนจึงต้องเข้าใจว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของสังคมแต่ละสังคม (หรือประเทศ) จะเริ่มต้นไม่ตรงกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการมี ตัวอักษรบันทึกเรื่องราวของแต่ละสังคมนอกจากนั้นการแบ่งและกำหนดสมัยย่อยในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็ยังมีความแตกต่างกันเนื่องจากแต่ละภูมิภาคต่างก็มีพัฒนาการแตกต่างกันไป
1.ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ(3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 476)
เริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียแถบลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสและดินแดนอียิปต์แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ที่ชาวเมโสโปเตเมียและชาวอียิปต์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ 3,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราชจากนั้นอิทธิ พลของความเจริญของสองอารยธรรมก็ได้แพร่หลายไปยังทางใต้ของยุโรปสู่เกาะครีตต่อมาชาวกรีกได้รับเอาความเจริญจากเกาะครีตและความเจริญของอียิปต์มาสร้างสมเป็นอารยธรรมกรีกขึ้นและเมื่อชาวโรมันในแหลมอิตาลียึดครองกรีกได้ชาวโรมันก็นำอารยธรรมกรีกกลับไปยังโรมและสร้างสมอารยธรรมโรมันขึ้นต่อมาเมื่อชาวโรมันสถาปนาจักรวรรดิโรมันพร้อมกับขยายอาณาเขตของตนไปอย่างกว้างขวางอารยธรรมโรมันจึงแพร่ขยายออกไปจนกระทั่งจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงเมื่อพวกชนเผ่าเยอรมันเข้ายึดกรุงโรมได้ใน ค.ศ. 476 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณของชาติตะวันตกจึงสิ้นสุดลง
2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ.476 -ค.ศ.1453)
เริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในค.ศ.476 เมื่อถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าวิสิกอธ (Visigoth)โจมตี ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงสภาพทั่วไปของกรุงโรมเต็มไปด้วยความวุ่นวายการเมืองเศรษฐกิจและสังคมอ่อนแอประชาชนอดอยากขาดที่พึ่งมีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้ายเนื่องจากช่วงเวลานี้ยุโรปตะวันตกไม่มีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ปกครองดังเช่นจักรวรรดิโรมันนอกจากนี้ยังถูกพวกอารยชนเผ่าต่างๆเข้ามารุกรานส่งผลให้อารยธรรมกรีกและโรมันอันเจริญรุ่งเรืองในยุโรปตะวันตกได้หยุดชะงักลงนักประวัติศาสตร์สมัยก่อนจึงเรียกช่วงสมัยนี้อีกชื่อหนึ่งว่ายุคมืด (Dark Ages) หลังจากนั้น ศูนย์กลางของอำนาจยุโรปได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไบแซนติ อุม(Byzantium) ซึ่งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบันโดยจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantion) เป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิ แห่งใหม่ที่มี ความเจริญรุ่งเรืองซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อคอนสแตนติโนเปิล(Constantinople) ตามชื่อของจักรพรรดิคอนสแตนตินประวัติศาสตร์สมัยกลางนี้เป็นช่วงเวลาที่มี การเปลี่ยนแปลงอารยธรรมตะวั นตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ศาสนาเป็นสมัยที่ตะวันตกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคริสต์ศาสนาทั้งทางด้านการเมืองเศรษฐกิจสังคมและศิลปวัฒนธรรมนอกจากนี้สังคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือสังคมระบบศักดิ นาสวามิภักดิ์ที่ขุนนางมีอำนาจครอบครองพื้นที่โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติดที่ดิน (sert) และดำรงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์ (Manor) ของขุนนางซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสังคมสมัยกลางนอกจากนี้ในสมัยกลางนี้ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญคือสงครามครูเสดซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างคริสต์ศาสนากับศาสนาอิสลามที่กินเวลาเกือบ 200 ปีเป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้านอื่นๆตามมาสมัยกลางสิ้นสุดใน ค.ศ.1453 เมื่อพวกออตโตมันเตอร์กสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิโรมันตะวันตกได้
3.ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ.1453-1945)
ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ถือว่าเริ่มต้นใน ค.ศ. 1453 เป็นปีที่ชนเผ่าเติร์กโจมตีและสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้เป็นผลให้ศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองกลับมาอยู่ในยุโรปตะวันตกอีกครั้งในระหว่างนี้ในยุโรปตะวันตกเองกำลังมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านความคิดและศิลปะวิทยาการต่างๆจากพัฒนาการของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการที่ดำเนินมายุโรปจึงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในครั้งนี้ได้มี การสำรวจและขยายดินแดนออกไปกว้างไกลจนเกิดเป็นยุคล่าอาณานิคมซึ่งต่อมานำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศกลายเป็นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามโลกถึงสองครั้งภายในเวลาห่างกันเพียง 20 ปีในช่วงเวลาเกือบห้าร้อยปี ของประวัติศาสตร์สมัยใหม่มี เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายที่โดดเด่นและมี ผลกระทบยาวไกลต่อเนื่องมาจนถึงโลกปัจจุบันได้แก่ การสำรวจทางทะเล การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมการกำเนิดแนวคิดทางการเมืองใหม่ (เสรีนิยมชาตินิยมและประชาธิปไตย) การขยายดินแดนหรือการล่าอาณานิคม (จักรวรรดินิยม) และสงครามโลกสองครั้งเหตุการณ์สำคัญๆหลายประการในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ได้ส่งผลสืบเนื่องต่อพัฒนาการของประวัติศาสตร์โลกสมัยปัจจุบันอย่างมากมาย
4.ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน(ค.ศ.1945-ปัจจุบัน) หรือเรียกกันว่าประวัติศาสตร์รวมสมัย
เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงซึ่งมี ผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลกและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมการเมืองการปกครองของสังคมโลกในปัจจุบันโดยช่วงประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีเหตุการณ์ ดังนี้ สงครามเย็น ยุคโลกาวิวัฒน์
ความสำคัญของเวลา
เวลาเป็นแนวคิดที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่ความคิดเรื่องเวลามี ความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตและกิจกรรมของมนุษย์อยู่ตลอดในสมัยโบราณมนุษย์สามารถบอกเวลาได้จากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แสงสว่างที่มาพร้อมกับดวงอาทิตย์และตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าลักษณะของดวงจันทร์ที่ปรากฏในแต่ละคืนหรือการที่มีฝนตกหรือฝนไม่ตก การผลิดอกออกผลของต้นไม้เป็นต้น มนุษย์รู้จักนับเวลามาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีหลักฐานว่าใช้การขีดลงบนแผ่นดินเพื่อบันทึกวันเดือนที่ผ่านไปนั่นคือ ความคิดเรื่องเวลาเกี่ยวกับปฏิทินเมื่อมนุษย์มีการพัฒนาด้านวิทยาการมากขึ้นก็มีการสร้างนาฬิกาซึ่งเป็นเครื่องมือบอกเวลาที่แน่นอนมากขึ้นและมีวิธีการกำหนดจำนวนวันในปฏิทินให้เป็นรอบปี ที่สอดคล้องกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เวลามีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันอย่างไรเป็นสิ่งที่เราทุกคนคงตระหนักดีเวลาเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถจัดระบบชีวิตส่วนตัวและสังคมได้และช่วยทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆทั้งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของมนุษย์และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งดำเนินไปตามลำดับกาลเวลาการที่เราจะเข้าใจเหตุการณ์ในอดีตรวมทั้งสาเหตุและผลของเหตุการณ์เหล่านั้นได้เราจึงจำเป็นต้องทราบลำดับเวลาของเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกันหรือเป็นเหตุเป็นผลแก่กันประวัติศาสตร์ของทุกชนชาติจึงต้องมีเวลาเป็นเกณฑ์อ้างอิงหรือเส้นกำกับเวลาอยู่ตลอดเวลาหาไม่แล้วเหตุการณ์ต่างๆก็คงจะไม่มีความหมายหรือหากจะยังมีความหมายอยู่บ้างก็คงจะเป็นความหมายทีเลื่อนลางด้วยไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหรือหลังดังนั้นจึงไม่สามารถจะทราบอย่างแน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุและอะไรคือผลซึ่งจะมี ผลตามมาคือทำให้เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นั้นมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร
การเทียบศักราชในประวัติศาสตร์สากล
การเทียบศักราชในประวัติศาสตร์สากลเมื่อมนุษย์มี การดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ใช้ระยะเวลายาวนาน ดังนั้นมนุษย์จึงต้องกำหนดช่วงเวลาซึ่งเป็นที่ยอมรับและสามารถใช้ร่วมกันได้ในสังคมหนึ่งๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเหตุการณ์ตรงกันมนุษย์จึงได้กำหนดศักราชขึ้นเพื่อใช้นับเวลาทุกๆ 1 ปีโดยเกณฑ์การกำหนดศักราชนี้จะแตกต่างกันไปตามแนวคิดและความเชื่อในแต่ละสังคม เช่น บางสังคมใช้เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์การสร้างเมืองหรืออาณาจักรบางสังคมใช้เหตุการณ์ สำคัญทางศาสนาเป็นต้น ศักราชที่ใช้ในการศึกษาประวัติ ศาสตร์สากลที่สำคัญ ได้แก่ คริสต์ศักราชและฮิจเราะห์ศักราช
คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
คริสต์ศักราชเป็นศักราชสากลที่ใช้อยู่ทั่วโลกในปัจจุบันนี้ คริสต์ศักราชที่ 1 เริ่มต้นเมื่อ วันที่ 1 มกราคม ปี 754 แห่งศักราชโรมันการเริ่มต้นคำนวณคริสต์ศักราชเริ่มขึ้นเมื่อ ค.ศ.525 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปานักบุญจอนห์ที่ 1 (St.Paul I) ทรงมอบหมายให้นักบวชชื่อ ไดโอนิซุส เอ็กซิกุอุส (Dionysius Exiguus) คำนวณวันอีสเตอร์สำหรับใช้ระหว่าง ค.ศ. 527-626 ผลการคำนวณพบว่าพระเยซูคริสต์ประสูติ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ปี 753 แห่งศักราชโรมันแต่เนื่องจากตามธรรมเนียมถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นปี ใหม่ ดังนั้นจึงเห็นว่าวันที่ 1 มกราคม ปี 754 แห่งศักราชโรมันเป็นจุดเริ่มต้นของปีแรกสำหรับยุคใหม่ของมนุษยชาติ เรียกว่า “ปี แห่งพระเป็นเจ้า”(ANNO DOMINI ซึ่งย่อว่า A.D.) ทำให้ในเวลาต่อมามี การเรียกช่วงเวลาก่อนการประสูติของพระเยซูคริสต์ว่าก่อนคริสต์ศักราช (Before Christ ซึ่งย่อว่า B.C.) ดังนั้น ตามการคำนวณของไดโอนีซุส เอ็กซิกุอุสปี 754 แห่งศักราชโรมัน จึงถือว่าเป็น ค.ศ. 1 (A.D.1) และปี 753 แห่งศักราชโรมัน จึงเป็น 1 ปีก่อนคริสต์ศักราช (1 B.C.) อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มมีการใช้คริสต์ศักราชนั้นศักราชดังกล่าวยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าที่ควรมี หลักฐานว่าคริสต์ศักราชน่าจะปรากฏใช้เป็นศักราชหลักในยุโรปตะวันตกเมื่อนักบวช ชาวอังกฤษซึ่งเป็นที่รู้จักในนามว่า บีดผู้น่านับถือ (Venerable Bede) ใช้คริสต์ศักราชในการอ้างอิงเหตุการณ์ต่างๆในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ศาสนาของชาวอังกฤษ” ของเขาซึ่งเขียนแล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ.731ขณะที่สำนักวาติกันใช้คริสต์ศักราชในเอกสารอย่างเป็นทางการในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่13(St. Paul XIII)
ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ)
ฮิจเราะห์ศักราชเป็นศักราชของศาสนาอิสลาม โดยใช้ปีที่ท่าน นบีมุฮัมมัดศาสดาของศาสนาอิสลามกระทำฮิจเราะห์ (Hijarah แปลว่า การอพยพโยกย้าย) คือ อพยพออกจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินาเป็น ฮ.ศ.1ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.622 หรือ พ.ศ.1165 แต่การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็นพุทธศักราชไม่สามารถใช้จำนวนคงที่เทียบได้เนื่องจากฮิจเราะห์ศักราชยึดถือวันเดือนปีทางจันทรคติอย่างเคร่งครัดจึงเดินตามปีสุริยคติไม่ทันทำให้คลาด เคลื่อนไม่ตรงกันโดยทุกๆ 32 ปี ครึ่งจะเพิ่มขึ้นจากปีสุริยคติไป1 ปี ตลอด การเทียบฮิจเราะห์ศักราชกับพุทธศักราชในปัจจุบันให้บวกฮิจเราะห์ศักราชด้วย 1122
วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ใบงานที่ 4
บล็อกเกอร์คืออะไร ?
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 คำ บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) ซึ่งรวมกันหมายถึง “ปูมเว็บ” หรือ บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง หรือ ถ้าจะขยายความมากไปกว่านั้น Blog ก็จะหมายถึง การบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ มีการจัดเรียง “เรื่อง” หรือ post เรียงลำดับ โดยเรื่องใหม่จะอยู่ด้านบนสุด ส่วนเรื่องเก่าก็จะอยู่ด้านล่างสุด ซึ่งจะมีวันที่-เวลาเขียนกำกับไว้ เป็นที่นิยมกันในหมู่มาก
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นแค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลาย และครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างไดอารี่ จนถึงการบันทึกบทความเฉพาะด้านต่างๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจ เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อก เป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ มีการสื่อสารกับผู้อ่านผ่านทางระบบ comment และมีการถ่ายทอดอย่างเป็นกันเอง โดยบล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะเช่นเพื่อน หรือคนในครอบครัว Blog ให้ อิสระในการเขียนเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่ใจผู้เขียน โดยจะสะท้อนบุคลิกของผู้เขียนออกมา ถ้าคนไหนเป็นคนตลก ก็จะเขียนออกมาได้สนุกสนาน น่าอ่าน, ใครชอบเลี้ยงสุนัขจะเล่าเรื่องสุนัขของตัวเอง เป็นต้น Blog มีทั้งบริการแบบเสียค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการให้บริการ ซึ่งมักจะติดตั้ง Tool ให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากนัก
คู่มือการเริ่มต้นใช้งานบล็อกเกอร์
ในการเริ่มใช้บล็อกเกอร์ เพียงลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google (ถ้าคุณใช้ Gmail, Google Groups หรือ orkut แสดงว่าคุณมีบัญชีอยู่แล้ว) ถ้าคุณยังไม่มีบัญชีผู้ใช้ Google Account คุณสามารถสร้างบัญชีใหม่ได้ทันที
การสร้างบล็อก
เมื่อต้องการเริ่มเขียนบล็อกด้วยบล็อกเกอร์ ให้ไปที่ หน้าแรกบล็อกเกอร์ ใส่ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณ จากนั้นคลิกลงชื่อเข้าใช้ ป้อนชื่อที่แสดง และยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการของบล็อกเกอร์ จากนั้นคลิกที่ลิงก์ สร้างบล็อก แล้วเริ่มต้นได้เลย!
เมื่อต้องการเริ่มเขียนบล็อกด้วยบล็อกเกอร์ ให้ไปที่ หน้าแรกบล็อกเกอร์ ใส่ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณ จากนั้นคลิกลงชื่อเข้าใช้ ป้อนชื่อที่แสดง และยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการของบล็อกเกอร์ จากนั้นคลิกที่ลิงก์ สร้างบล็อก แล้วเริ่มต้นได้เลย!
เลือกที่อยู่ (URL) และชื่อบล็อก จากนั้นเลือกเทมเพลตบล็อกที่คุณชอบ (นี่คือลักษณะหน้าตาของบล็อกเมื่อคุณเผยแพร่) จากนั้นก็เริ่มใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มข้อมูลในโปรไฟล์ส่วนบุคคลของคุณ และปรับแต่งลักษณะของบล็อก ถ้าคุณต้องการ เริ่มต้นเขียนบล็อกวันนี้
แดชบล็อก
หน้าแดชบอร์ดคือจุดเริ่มต้นของคุณเช่นเคย หน้านี้จะแสดงรายชื่อบล็อกของคุณทั้งหมด และคุณสามารถคลิกที่ไอคอนถัดจากชื่อบล็อกเพื่อดำเนินการต่างๆ กับแต่ละบล็อก เช่น
- เขียนโพสต์ใหม่: คลิกที่ไอคอนดินสอสีส้มบนแดชบอร์ดเพื่อเข้าถึงเครื่องมือการแก้ไขโพสต์
- ดูโพสต์ของคุณ: ไอคอนรายการโพสต์สีเทาจะนำคุณไปยังรายการโพสต์ที่เผยแพร่แล้วและโพสต์ในข้อความร่างของบล็อกนั้นๆ
- ติดตามบล็อกโปรดของคุณ: ด้านล่างรายการบล็อกของคุณ คุณจะเห็นรายการบล็อกที่คุณติดตาม พร้อมข้อความตัวอย่างจากโพสต์ล่าสุดของบล็อกเหล่านั้น
- อื่นๆ: ดูเมนูเลื่อนลงข้างไอคอนรายการโพสต์สำหรับลิงก์ด่วนไปยัง:
- ภาพรวม
- โพสต์
- หน้าเว็บ
- ความคิดเห็น
- สถิติ
- รายได้
- การออกแบบ
- เทมเพลต
- การตั้งค่า
ภาพรวม

บนแท็บ ภาพรวม คุณจะเห็นกิจกรรมต่างๆ ของบล็อก ข่าวสาร และเคล็ดลับจากทีมบล็อกเกอร์ และบล็อกล่าสุดของกระดาษโน้ต
เขียนโพสต์ของคุณ
เมื่อคุณลงชื่อเข้าใช้บล็อกเกอร์แล้ว คุณจะเห็นแดชบอร์ดพร้อมด้วยรายชื่อบล็อก ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องทำ
- คลิกที่ไอคอนรูปดินสอสีส้มเพื่อเขียนโพสต์ใหม่ และป้อนอะไรก็ได้ที่ต้องการแบ่งปันกับคนทั้งโลก
- ถัดไป คุณจะเห็นหน้าเว็บของเครื่องมือแก้ไขโพสต์ เริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อโพสต์ (ไม่จำเป็น) จากนั้นป้อนเนื้อหาโพสต์

3. เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้คลิกปุ่ม ดูตัวอย่าง ที่ด้านบนเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าพร้อมที่จะดำเนินการ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม เผยแพร่ เพื่อเผยแพร่โพสต์
เพิ่มรูปภาพ
คุณสามารถเพิ่มภาพจากคอมพิวเตอร์หรือจากเว็บไปยังบล็อกของคุณ คลิกที่ไอคอนภาพในแถบเครื่องมือของเครื่องมือแก้ไขบทความ หน้าต่างใหม่จะปรากฏขึ้น เพื่อให้คุณเรียกดูไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์ หรือป้อน URL ของภาพบนเว็บ
เมื่อคุณเลือกภาพได้แล้ว คุณจะสามารถเลือกการออกแบบเพื่อกำหนดว่าภาพของคุณจะปรากฏในบทความอย่างไร:
- ตัวเลือก "ซ้าย" "กึ่งกลาง" และ "ขวา" ช่วยให้คุณปรับแต่งวิธีที่ข้อความบล็อกจะล้อมรอบภาพของคุณ
- ตัวเลือก "ขนาดภาพ" จะกำหนดขนาดของภาพที่จะปรากฏในบทความของคุณ
คลิก อัปโหลดภาพ เพื่อเพิ่มภาพของคุณ จากนั้นคลิก เสร็จสิ้น เมื่อหน้าต่างการแจ้งปรากฏเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า "เพิ่มภาพของคุณแล้ว" จากนั้น Blogger จะนำคุณกลับสู่เครื่องมือแก้ไขบทความ ซึ่งคุณจะพบภาพของคุณพร้อมสำหรับการเผยแพร่ในบล็อกของคุณ
นอกจากนี้คุณยังสามารถเผยแพร่ภาพในบล็อกของคุณ โดยใช้อุปกรณ์มือถือ ซอฟต์แวร์ภาพที่ให้บริการฟรีของ Google Picasa หรือบริการของบุคคลที่สามเช่น flickr
เพิ่มวีดิโอ
เมื่อต้องการเพิ่มวิดีโอลงในโพสต์ของบล็อก ให้คลิกไอคอนรูปแผ่นฟิล์มในแถบเครื่องมือตัวแก้ไขโพสต์ที่ด้านบนของบริเวณที่คุณใช้เขียนข้อความบล็อก จะมีหน้าต่างปรากฏเพื่อให้คุณ "เพิ่มวิดีโอในบทความบล็อกของคุณ"
คลิก เรียกดู เพื่อเลือกไฟล์วิดีโอจากคอมพิวเตอร์ของคุณที่คุณต้องการอัปโหลด โปรดทราบว่า Blogger ยอมรับไฟล์ AVI, MPEG, QuickTime, Real และ Windows Media และวิดีโอของคุณต้องมีขนาดน้อยกว่า 100 เมกะไบต์
ก่อนที่จะอัปโหลดวิดีโอ เพิ่มชื่อในช่อง "ชื่อวิดีโอ" และยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการ (คุณต้องดำเนินการนี้เฉพาะครั้งแรกที่อัปโหลดวิดีโอกับ Blogger) จากนั้นคลิก อัปโหลดวิดีโอ
ขณะที่วิดีโอของคุณถูกอัปโหลด คุณจะพบตัวจองพื้นที่ในเครื่องมือแก้ไขบทความ เพื่อแสดงว่าวิดีโอของคุณจะปรากฏที่ไหน นอกจากนี้คุณจะพบข้อความสถานะใต้เครื่องมือแก้ไขบทความ เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าการอัปโหลดกำลังดำเนินการ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณห้านาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดวิดีโอของคุณ เมื่อดำเนินการเสร็จ วิดีโอของคุณจะปรากฏในตัวแก้ไขโพสต์
กำหนดค่า
เทมเพลตเป็นสิ่งที่คุณจะใช้ปรับแต่งบล็อกได้อย่างสนุกสนาน เมื่อสร้างบล็อกใหม่ คุณจะต้องเลือกเทมเพลตเริ่มต้น ซึ่งเป็นการออกแบบพื้นฐานสำหรับบล็อกของคุณ คุณสามารถเลือกจาก เทมเพลตจำนวนมาก ที่เตรียมไว้ให้สำหรับบล็อกของคุณ เพียงเลือกเทมเพลตที่เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด

เมื่ออยู่บนแท็บ เทมเพลต คุณสามารถเลือกคลิกที่ปุ่ม กำหนดค่า สีส้มเพื่อเริ่มเครื่องมือออกแบบเทมเพลต WYSIWYG (“สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่จะได้”) หรือเลือกเทมเพลตเริ่มต้นอันใดอันหนึ่งของเรา หากต้องการแก้ไข HTML ของบล็อก ให้คลิกที่ปุ่ม แก้ไข HTML สีเทา
นอกจากนี้ คุณสามารถปรับแต่งการออกแบบบล็อก โดยใช้อินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มวิดเจ็ตดีๆ เช่นการแสดงภาพสไลด์ หรือโพลจากผู้ใช้ หรือแม้แต่ โฆษณา AdSense ก็ได้ ถ้าคุณต้องการควบคุมการออกแบบบล็อกโดยละเอียดยิ่งขึ้นอีก คุณสามารถใช้คุณลักษณะแก้ไข HTML ได้ ในการแก้ไขการออกแบบบล็อก ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- คลิก การออกแบบ จากเมนูแบบเลื่อนลงบนแดชบอร์ดด้านล่างบล็อกที่คุณต้องการกำหนดค่า
- จากนั้นคลิก แก้ไข เพื่อแก้ไขแกดเจ็ตที่มีอยู่ หรือ เพิ่มแกดเจ็ต เพื่อเพิ่มใหม่
- ถ้าต้องการเพิ่มแกดเจ็ตใหม่หลังจากที่คุณคลิก เพิ่มแกดเจ็ต ให้คลิกที่เครื่องหมายบวกถัดจากแกดเจ็ตที่คุณต้องการ คุณสามารถเลือกวิดเจ็ตตามหมวดหมู่ หรือค้นหาวิดเจ็ตที่ต้องการในมุมด้านขวาบนของหน้าต่างแบบป๊อปอัป
4. เมื่อคุณได้เพิ่มข้อมูลที่จำเป็นไปยังแกดเจ็ตที่เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว ให้คลิกปุ่ม บันทึกการจัดวาง สีส้ม การออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไว้จะปรากฏขึ้นในทันที
#permissionsข้อมูลส่วนบุคคลและการอนุญาต
ตามค่าเริ่มต้น บล็อกของคุณทุกส่วนจะเป็นแบบสาธารณะ และบุคคลทั่วไปในอินเทอร์เน็ตสามารถอ่านได้ แต่ถ้าคุณต้องการความเป็นส่วนตัว คุณสามารถทำได้เช่นกัน คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเหล่านี้ในแท็บ การตั้งค่า | ขั้นต้น

- ในส่วน "ผู้อ่านบล็อก" คุณอาจพบว่ามีการเลือก "ใครก็ได้" ไว้เป็นค่าเริ่มต้น เมื่อเปลี่ยนตัวเลือกนี้เป็น "เฉพาะผู้อ่านเหล่านี้" คุณจะพบปุ่ม เพิ่มผู้อ่าน
- คลิกที่ปุ่ม เพิ่มผู้อ่าน จากนั้นป้อนที่อยู่อีเมลของบุคคลที่คุณต้องการให้สิทธิ์ในบล็อกของคุณ ถ้าต้องการเพิ่มหลายคน ให้คั่นที่อยู่ด้วยเครื่องหมายจุลภาค
- สำหรับแต่ละที่อยู่ที่ป้อน บัญชีผู้ใช้ Google ที่เชื่อมโยงกับที่อยู่นั้นจะได้รับสิทธิ์ในการดูบล็อกของคุณ ถ้าที่อยู่ไม่ได้เชื่อมโยงกับบัญชี บุคคลนั้นจะได้รับอีเมลคำเชิญพร้อมด้วยลิงก์เพื่อให้สามารถดำเนินการหนึ่งในสามอย่างต่อไปนี้:
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่มีอยู่
- สร้างบัญชีใหม่
- ดูบล็อกในฐานะผู้เข้าชม (ไม่ต้องมีบัญชี)
Credit By : http://makewebblogs.blogspot.com/
https://support.google.com
วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)